ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญากู้และจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ได้ตั้งนายเอก
เป็นทนายความเข้ามาต่อสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ระหว่างสืบพยานโจทก์ นายเอกได้นำใบแต่งทนายความ
ที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้แต่งตั้งให้นายเอกเป็นทนายความของจำเลยที่ 2 มายื่นต่อศาล และในวันเดียวกันนั้นเอง โจทก์และ
จำเลยทั้งสองโดยนายเอกทนายความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด
ต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2548 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ขณะโจทก์ฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้
จำเลยที่ 2 มิได้มีภูมิลำเนาตามฟ้องและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งนายเอกเป็นทนายความ
ให้แต่อย่างใด ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนายความเป็นลายมือปลอม จำเลยที่ 2 มาตรวจดูสำนวนคดีที่ศาล
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2548 จึงทราบเรื่องดังกล่าว ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ รายงานกระบวน
พิจารณาและคำพิพากษาตามยอม แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า
คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่อาจยื่นคำร้องในคดีนี้ได้ ชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ให้ยกคำร้อง
ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นชอบหรือไม่
ธงคำตอบ
การขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 นั้น
หาจำต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อนมีคำพิพากษาเสมอไปไม่ หากเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ทราบกระบวนพิจารณา
ที่ผิดระเบียบภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว ก็ชอบที่จะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณา
ที่ผิดระเบียบดังกล่าวได้ แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวัน นับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูล
แห่งข้ออ้างนั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 3476/2538, 7627/2538, 5876/2545 และ 5047/2547)
ตามคำร้องของจำเลยที่ 2 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบถึงการที่ถูกโจทก์ฟ้องเพราะจำเลยที่ 2
มิได้มีภูมิลำเนาตามฟ้องโจทก์และไม่ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งนายเอกเป็นทนายความให้แต่อย่างใด
หากได้ความจริงกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินมาจนกระทั่งพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ย่อมไม่ชอบ จำเลยที่ 2 ผู้ได้รับความเสียหายย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว
แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างเรื่องการผิด
ระเบียบ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2548 และมายื่นคำร้องในวันที่ 10 มกราคม 2548 คำร้องของจำเลยที่ 2 จึงชอบด้วยมาตรา
27 วรรคสอง และการขอให้ศาลสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบต้องยื่นคำร้องในคดีเดิมที่อ้างว่ามีการพิจารณา
ที่ผิดระเบียบนั้นเองตามมาตรา 7 (4) จะมายื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหากหาได้ไม่ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่
5934-5935/2545) ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องจึงไม่ชอบ
ข้อ 2. นายเงินเป็นโจทก์ฟ้องนายทองเป็นจำเลยอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 15 นายทองจำเลยบุกรุกเข้ามา
ครอบครองโดยมิชอบ ขอให้ขับไล่ นายทองจำเลยให้การต่อสู้ว่า นายทองได้ร่วมกับนายนากครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท
จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า นายทองจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้
กรรมสิทธิ์หรือไม่ ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา นายนากยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างเหตุว่าตนเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
ตามกฎหมายในผลแห่งคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายนากเป็นโจทก์ฟ้อง
นายเงินเป็นจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ขับไล่และห้ามนายเงินเกี่ยวข้องกับที่ดิน
พิพาท นายเงินจำเลยให้การต่อสู้ว่า นายนากมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการ
ครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง ขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาปรากฏว่า คดีแรกศาลพิจารณาเสร็จก่อน พิพากษาว่านายทอง
จำเลยและนายนากจำเลยร่วมมิได้ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ให้ขับไล่นายทอง
จำเลยและนายนากจำเลยร่วมออกไปจากที่ดินพิพาท นายทองจำเลยและนายนากจำเลยร่วมอุทธรณ์
ให้วินิจฉัยว่า ฟ้องของนายนากโจทก์คดีหลังเป็นฟ้องซ้ำหรือการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่
ธงคำตอบ
การที่นายนากโจทก์ยื่นฟ้องคดีหลัง ในขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณา ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
อันถึงที่สุด ฟ้องนายนากโจทก์คดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจักต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 148
การที่นายนากโจทก์คดีหลังยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 57 (2) โจทก์จึงเป็นคู่ความในคดีก่อนของศาลชั้นต้นตามมาตรา 1 (11) ฉะนั้น โจทก์จึงต้องถูกผูกพันในกระบวน
พิจารณาของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาชี้ขาด
ในประเด็นแห่งคดีในคดีก่อนว่า นายนากมิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
นายนากโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องนายเงินจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนโดยการครอบครองปรปักษ์อีก เพราะเป็นการ
ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้นายนากโจทก์จะฟ้องคดีหลังก่อน
ที่ศาลคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดก็ตาม แต่เมื่อคดีก่อนศาลได้พิพากษาชี้ขาดแล้วกรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของ
มาตรา 144 นี้ เช่นกัน (คำพิพากษาฎีกาที่ 2116/2542)
ข้อ 3. โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำรถยนต์ของโจทก์ทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างหรือ
ตัวแทนของจำเลยที่ 2 กระทำโดยทุจริตรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยเกินไปกว่าจำนวนที่ต้องชำระจริง จึงขอให้ศาลบังคับจำเลย
ทั้งสองคืนเงินค่าเบี้ยประกันภัยส่วนที่โจทก์ได้ชำระเกินไปกว่าจำนวนที่ต้องชำระจริง จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์เป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ทำสัญญาประกันภัยจริง แต่ปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนกระทำละเมิดต่อโจทก์ และฟ้องโจทก์
ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิด ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำต้องชี้สองสถาน
จึงสั่งให้งดชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์ หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติม
คำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ตามฟ้องในขณะที่นำมาทำสัญญา
ประกันภัยไว้แก่จำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ได้โอนและส่งมอบการครอบครองรถยนต์ดังกล่าวให้เป็นของนายเก่งแล้ว โจทก์จึง
ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรถยนต์ดังกล่าว อีกทั้งโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายหรือคืนเงินค่าเบี้ยประกันภัย
เพราะเงินค่าเบี้ยประกันภัยเป็นทรัพย์ของนายเก่ง ไม่ใช่ทรัพย์ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นสอบโจทก์
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขคำให้การภายหลังที่มีการสืบพยานโจทก์แล้ว อีกทั้งเป็นการแก้ไขคำให้การเพิ่มเติม
ประเด็นเข้ามาใหม่ ไม่เกี่ยวกับคำให้การหรือข้ออ้างเดิมของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ให้วินิจฉัยว่า คำคัดค้านของโจทก์ฟังขึ้นหรือไม่ และศาลจะสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 1
อย่างไร
ธงคำตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 มิได้บัญญัติว่าข้อความที่ขอแก้ไขคำให้การจำเลยนั้น
จะต้องเกี่ยวกับคำให้การหรือข้ออ้างเดิมของจำเลย คงห้ามเฉพาะเรื่องคำฟ้องเท่านั้น แม้การแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
ของจำเลยจะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่กล่าวแก้ข้อหาโจทก์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิมหรือไม่ก็ย่อมกระทำได้
ตามมาตรา 179 (3) เมื่อจำเลยที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขภายหลังจากวันสืบพยานโจทก์ได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 180
ดังนั้น ข้อคัดค้านของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
การที่จำเลยที่ 1 เคยยื่นคำให้การว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ทำสัญญาประกันภัย แต่ต่อมา
ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การมีข้อความว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าว
ในขณะทำสัญญาประกันภัย โจทก์ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในรถยนต์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยมิได้ยกเลิกคำให้การเดิมเท่ากับ
จำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ที่เอาประกันภัย ดังนั้น คำให้การกับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
ของจำเลยที่ 1 จึงขัดแย้งกันเอง หากศาลอนุญาตแล้วย่อมจะทำให้กลายเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์
โดยชัดแจ้ง เป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา 177 วรรคสอง ทำให้ไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลจึงไม่อาจอนุญาตให้จำเลยที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การตามคำร้องดังกล่าวได้ ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1
(คำพิพากษาฎีกาที่ 2236/2545)
ข้อ 4. โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราคา 500,000 บาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้น
นัดสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ถึงวันนัดสืบพยาน โจทก์และจำเลยมาศาล ระหว่างการสืบพยาน จำเลยมิได้แถลงข้อความใด
ต่อศาลนอกจากยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ศาลสอบถาม เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ ศาลชั้นต้นให้นัดฟังคำพิพากษาในวันรุ่งขึ้น
ในวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมาศาลและยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัด เพราะจำเลยเพิ่งทราบ
เรื่องการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นคำให้การแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง แล้วพิพากษา
ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ตามฟ้อง
ให้วินิจฉัยว่า
(ก) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยชอบหรือไม่
(ข) หากจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา จำเลยจะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
(ก) จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การมีสิทธิขออนุญาตยื่นคำให้การได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 199 วรรคหนึ่ง โดยจำเลยนั้นต้องมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี และต้องแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์
จะต่อสู้คดี การที่จำเลยมาศาลโดยไม่แถลงข้อความใดต่อศาล นอกจากแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ศาลสอบถาม
จนกระทั่งศาลดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จและนัดฟังคำพิพากษาเช่นนี้ ถือว่าจำเลยไม่ได้แจ้งต่อศาลในโอกาสแรก
ว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยจึงมายื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ เป็นการไม่ปฏิบัติตาม
บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและล่วงเลยขั้นตอนที่จำเลยจะขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยแล้ว ศาลชอบที่จะยกคำร้อง
ของจำเลย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยจึงชอบแล้ว (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่
1435/2521)
(ข) จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ แม้มาศาล แต่มิได้แจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี ถือว่าเป็น
กรณีที่ศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามมาตรา 199 วรรคสอง แม้ต่อมาหากศาลพิพากษาให้จำเลยนี้แพ้คดีและ
จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา จำเลยก็จะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ เพราะคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยนั้น
ต้องห้ามตามมาตรา 199 ตรี (2) ประกอบมาตรา 199 วรรคสาม
ข้อ 5. โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในมูลละเมิดเป็นเงิน 100,000 บาท และฟ้องจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยให้
ร่วมรับผิดในวงเงิน 60,000 บาท โดยโจทก์เสียค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์ 100,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้
เป็นผู้ทำละเมิด ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้รับประกันภัย ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระ
ค่าขึ้นศาลเพิ่มในจำนวนทุนทรัพย์ 60,000 บาท โจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่ได้โต้แย้ง เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว
วันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยาน
จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อเสร็จการพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน
100,000 บาท แก่โจทก์ และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียม
ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามฟ้อง
และอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่เรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดี และงดสืบพยานจำเลยที่ 1 โดยมิได้นำค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์และของจำเลยที่ 1
ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่เรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มในจำนวนทุนทรัพย์ 60,000 บาท เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
ซึ่งโจทก์จะต้องโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้จึงจะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
(2) แต่กรณีนี้อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่ม
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้ง
คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้ซึ่งเท่ากับว่าโจทก์มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น โจทก์ก็มีสิทธิยกปัญหาเช่นว่านั้น
ขึ้นอ้างในอุทธรณ์ได้ ตามมาตรา 225 วรรคสอง อันเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 226 (2) โจทก์จึงชอบที่จะอุทธรณ์ในปัญหา
ดังกล่าวได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่
7409/2546 (ประชุมใหญ่))
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
เมื่อจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งไว้แล้ว จึงชอบที่จะอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 226 (2) และการที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งระหว่าง
พิจารณาโดยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม ย่อมมีผลโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้สิ้นผลบังคับ
ไปในตัวด้วย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์
ตามมาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
คำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 3152/2545 และ 6747/2545)
ข้อ 6. นายรวยฟ้องนายสินขอให้บังคับนายสินชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้จำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง นายรวยอุทธรณ์คำพิพากษา และต่อมานายรวยได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว
ก่อนพิพากษาโดยขอให้ยึดที่ดิน 1 แปลง ของนายสินไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา เพราะนายสินกำลังจะโอนขายที่ดินดังกล่าว
ให้แก่ผู้อื่น ซึ่งหากโอนขายไปแล้ว และนายรวยชนะคดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ก็จะไม่สามารถบังคับเอาชำระหนี้ได้ นายสิน
ยื่นคำคัดค้านว่า นายรวยจะขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ให้วินิจฉัยว่า
(ก) คำคัดค้านของนายสินฟังขึ้นหรือไม่
(ข) ศาลใดบ้างมีอำนาจในการพิจารณาสั่งคำร้องของนายรวย
ธงคำตอบ
(ก) การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาจะขอในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็ได้
โดยต้องยื่นก่อนศาลนั้น ๆ มีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคหนึ่ง
นายรวยจึงขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ได้ คำคัดค้านของนายสินฟังไม่ขึ้น
(ข) สำหรับศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาสั่งคำร้องนั้น แยกพิจารณาดังนี้
1. ถ้านายรวยยื่นคำร้องก่อนที่ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนความที่อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้น
มีอำนาจในการพิจารณาสั่งคำร้องของนายรวยได้ตามมาตรา 254 วรรคสอง (คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 19/2502 และ
276/2537)
2. ถ้านายรวยยื่นคำร้องภายหลังที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนความที่อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แล้ว
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจในการพิจารณาสั่งคำร้องของนายรวย
ข้อ 7. นายวิทย์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 1 แปลงของนายชมลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้เงินได้ราคา 1,000,000 บาท หลังจากนั้น 10 วัน นายตุลและนายกิจเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ของนายชมอีก 2 คดียื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์โดยอ้างว่าบุคคลทั้งสองต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งศาลพิพากษา
ให้นายชมชำระหนี้เงิน แต่นายชมไม่มีทรัพย์สินเพียงพอจะชำระหนี้ได้ นายตุลและนายกิจไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สิน
อื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอศาลอนุญาตให้เข้าเฉลี่ยทรัพย์
(ก) นายวิทย์เจ้าหนี้คัดค้านว่า นายตุลผู้ร้องมิได้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของนายชมลูกหนี้
ตามคำพิพากษาจนเกินกำหนด 10 ปี นับแต่คดีของนายตุลเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุด นายตุลไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
(ข) นายชมลูกหนี้คัดค้านว่า นายชมยังมีทรัพย์สินอื่นนอกจากทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ นายกิจไม่มี
สิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
ให้วินิจฉัยว่า ข้อคัดค้านของนายวิทย์เจ้าหนี้และนายชมลูกหนี้ดังกล่าวจะยกเป็นเหตุโต้แย้งคัดค้านคำร้อง
ขอเฉลี่ยทรัพย์ของนายตุลและนายกิจได้หรือไม่
ธงคำตอบ
(ก) หากนายตุลเจ้าหนี้ผู้ร้องมิได้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของนายชมลูกหนี้ตามคำพิพากษาจนเกิน
กำหนด 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด นายตุลเจ้าหนี้ย่อมสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของนายชมและ
การขอเฉลี่ยทรัพย์ก็เป็นการบังคับคดีอย่างหนึ่งเพื่อเอาทรัพย์สินของนายชมชำระหนี้ของนายตุลผู้ขอเฉลี่ย และหมดสิทธิ
ที่จะร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของนายชมลูกหนี้ ข้อคัดค้านของนายวิทย์เจ้าหนี้ดังกล่าว จึงยกเป็นเหตุต่อสู้นายตุลผู้ร้องขอได้
(คำพิพากษาฎีกาที่ 816/2543)
(ข) การที่นายชมลูกหนี้ตามคำพิพากษายกข้อต่อสู้ว่า นายชมมีทรัพย์สินอื่นที่จะบังคับคดีได้นั้น บทบัญญัติ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่นายวิทย์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ซึ่งทำการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของนายชมลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะยกเป็นเหตุโต้แย้งคัดค้านมิให้นายกิจเจ้าหนี้
ตามคำพิพากษาในคดีอื่นเข้าเฉลี่ยทรัพย์ มิใช่ให้สิทธิแก่นายชมลูกหนี้ตามคำพิพากษายกขึ้นเป็นเหตุโต้แย้งคัดค้าน
(คำพิพากษาฎีกาที่ 1592/2547 และ 1706/2547)
ข้อ 8. ธนาคารกรุงเก่า จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ฟ้องนายโทลูกหนี้ให้ล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ว
มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายโทเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนคำขอรับชำระหนี้แล้ว ทำความเห็นเสนอต่อศาลว่า
ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของธนาคารกรุงเก่า จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ อย่างไรก็ตามหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
ขาดอายุความไปก่อนวันที่นำคดีมาฟ้อง เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า มูลหนี้ที่
เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เป็นหนี้รายเดียวกันกับที่นำมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วว่าหนี้ดังกล่าว
มีอยู่จริง ลูกหนี้ก็มิได้ให้การต่อสู้คดีและขาดนัดพิจารณา จนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและคดีถึงที่สุดแล้ว
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าหนี้ดังกล่าวขาดอายุความก่อนนำคดีมาฟ้องก็ตาม อีกทั้งไม่มีเจ้าหนี้รายใดหรือลูกหนี้โต้แย้ง
คำขอรับชำระหนี้รายนี้เลย จึงอนุญาตให้ธนาคารกรุงเก่า จำกัด (มหาชน) ได้รับชำระหนี้ตามขอ ลูกหนี้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
ศาลล้มละลายกลางตรวจอุทธรณ์แล้วมีคำสั่งว่า ลูกหนี้มิได้ให้การต่อสู้คดีและขาดนัดพิจารณา และมิได้โต้แย้งคำขอรับ
ชำระหนี้รายนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของลูกหนี้
ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่อนุญาตให้ธนาคารกรุงเก่า จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ตามขอก็ดี คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของลูกหนี้ก็ดี ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 (3) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจ
ฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ การที่ธนาคารกรุงเก่า จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำหนี้
ที่ขาดอายุความมายื่นคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจที่จะอ้างเอาอายุความมาต่อสู้เพื่อให้ศาล
ยกคำขอรับชำระหนี้ได้ แม้ศาลล้มละลายกลางจะได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดโดยมิได้การยกเหตุเรื่องอายุความ
ขึ้นมาพิจารณาวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ก็ตาม ก็หาใช่ว่าศาลได้วินิจฉัยยอมรับรองว่าเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ไม่ อีกทั้ง
กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายในส่วนของการขอรับชำระหนี้เป็นกระบวนพิจารณาที่แยกต่างหากจากกระบวนพิจารณาคดี
และมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ โดยบทบัญญัติมาตรา 94, 105, 106 และ 107 ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และศาล
ที่จะต้องพิจารณาในชั้นขอรับชำระหนี้อีกครั้งด้วยว่าหนี้ที่เจ้าหนี้แต่ละรายยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ได้
หรือไม่ แม้หนี้ที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ขอรับชำระหนี้มานั้น จะเป็นหนี้ที่กล่าวอ้างมาในฟ้องจนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วก็ตาม แต่ก็หาผูกพันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือศาลให้จำต้องถือตามไม่ เมื่อหนี้ที่เจ้าหนี้ผู้เป็น
โจทก์ยื่นคำขอรับชำระเป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้วจึงต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ ตามมาตรา 94 (1) (คำพิพากษาฎีกาที่
980/2532 และ 3960/2546) คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่อนุญาตให้ธนาคารกรุงเก่า จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ตามขอจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อนึ่ง แม้นายโทลูกหนี้จะมิได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ต่อเจ้าพิทักษ์ทรัพย์มาก่อน ลูกหนี้ก็มี
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้รับชำระหนี้เพราะไม่มีกฎหมายห้าม (คำพิพากษาฎีกาที่
1877/2526 (ประชุมใหญ่)) คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ไม่รับอุทธรณ์ของลูกหนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 9. คดีฟื้นฟูกิจการเรื่องหนึ่ง ศาลล้มละลายกลางสั่งให้ฟื้นฟูกิจการบริษัทลูกหนี้ และตั้งผู้ทำแผน ต่อมาที่ประชุม
เจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงรายงานศาล ขอให้กำหนดวันนัดพิจารณาแผน
ก่อนถึงวันนัด เจ้าหนี้รายหนึ่งยื่นคำคัดค้านว่า แผนฟื้นฟูกิจการไม่เป็นธรรม เพราะตนถูกลดหนี้ลงถึงร้อยละ 80 ทำให้ได้รับ
ชำระหนี้เพียงร้อยละ 20 ของจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระเท่านั้น ขอให้แก้ไขแผนเป็นได้รับชำระหนี้ร้อยละ 40 ของจำนวนหนี้ที่
ขอรับชำระ ผู้ทำแผนยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนให้เจ้าหนี้รายนี้ได้รับชำระหนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 ของจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระ
เจ้าหนี้จึงแถลงว่า หากได้รับชำระหนี้ตามที่มีการแก้ไข ก็ไม่ติดใจคัดค้าน
ให้วินิจฉัยว่า ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนที่มีการแก้ไขดังกล่าวได้หรือไม่
ธงคำตอบ
การขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการขอแก้ไขก่อนที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาแผน หรือแก้ไขหลังจากที่ศาล
มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว จะต้องยื่นคำขอแก้ไขต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ล่วงหน้าก่อนวันประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณา
แผนไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/45 และผู้มีอำนาจจะให้แก้ไขหรือไม่
คือที่ประชุมเจ้าหนี้เท่านั้นตามมาตรา 90/48 ผู้ทำแผนหามีอำนาจแก้ไขแผนเองไม่ นอกจากนี้แม้ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติให้
แก้ไขแผนได้ ก็ต้องนำแผนที่แก้ไขเข้าที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อลงมติพิเศษตามมาตรา 90/46 ว่าจะยอมรับแผนที่มีการแก้ไขอีก
ชั้นหนึ่ง จากนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงรายงานศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจะเห็นชอบด้วยแผนหรือไม่ โดยขอให้
ศาลนัดพิจารณาตามมาตรา 90/56 ต่อไป กรณีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าแผนฟื้นฟูกิจการไม่ได้ทำการแก้ไขโดยมติ
ที่ประชุมเจ้าหนี้และที่ประชุมเจ้าหนี้มิได้มีมติยอมรับแผนที่มีการแก้ไขตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติดังกล่าว การแก้ไขแผน
จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนที่มีการแก้ไขดังกล่าวไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้การแก้ไขแผนจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้ไม่ได้รับ
ความเป็นธรรม ทั้งผู้ทำแผนได้ยินยอมแก้ไขโดยเจ้าหนี้ก็แถลงไม่ติดใจคัดค้าน ดังนั้น ศาลล้มละลายกลางจึงชอบที่จะ
มีคำสั่งรับคำร้องขอแก้ไขแผนไว้ เพื่อส่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอให้ที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาและดำเนินการต่อไป
ตามกฎหมาย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 5818/2546)
ข้อ 10. คดีฟ้องขับไล่ของศาลจังหวัดธัญบุรีเรื่องหนึ่ง มีนายแดงและนายดำผู้พิพากษาศาลจังหวัดธัญบุรีเป็นองค์คณะ
เมื่อคดีเสร็จการพิจารณา ระหว่างทำคำพิพากษา นายแดงและนายดำได้ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอื่น
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรีจึงมอบหมายให้นายเหลืองผู้พิพากษาศาลจังหวัดธัญบุรีซึ่งมีอาวุโสสูงสุดเป็นเจ้าของ
สำนวนและตนเองเป็นองค์คณะทำคำพิพากษาตัดสินคดีนี้
ให้วินิจฉัยว่า นายเหลืองและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรีมีอำนาจทำคำพิพากษาหรือไม่
ธงคำตอบ
การที่นายแดงและนายดำผู้พิพากษาศาลจังหวัดธัญบุรีย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลอื่น เป็นกรณีที่ผู้พิพากษา
ซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาล
ยุติธรรม มาตรา 30 เมื่อเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างทำคำพิพากษาของศาลจังหวัดธัญบุรีซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ผู้ที่มีอำนาจ
ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาคือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรีจะมอบหมาย
ให้นายเหลืองทำคำพิพากษาไม่ได้ ตามมาตรา 29 (3) นายเหลืองจึงไม่มีอำนาจร่วมทำคำพิพากษา ส่วนผู้พิพากษา
หัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรีแม้จะมีอำนาจตรวจสำนวนและทำคำพิพากษาคดีนี้ก็ตาม แต่เมื่อคดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
ต้องมีองค์คณะผู้พิพากษา 2 คน ตามมาตรา 26 จึงจะพิพากษาคดีได้ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรีเพียงคนเดียว
จึงไม่สามารถทำคำพิพากษาคดีนี้ได้
ขอบคุณคร๊าบบบ
ตอบลบ